ลงทุนหุ้นจีน เปิดประเทศรอบนี้ ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจหรือยัง
ลงทุนหุ้นจีน เปิดประเทศรอบนี้ ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจหรือยัง
โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจอย่าง ‘จีน’ ต้องหยุดชะงัก แม้ว่าในท้ายที่สุด จีนจะกลับมาเปิดประเทศอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา
แต่การเปิดประเทศครั้งนี้ จะช่วยให้มังกรกลับมาติดปีกได้อีกครั้งหรือไม่ TODAY Bizview ชวนสำรวจบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นจีนทั้งในและต่างประเทศ ตอนนี้นักวิเคราะห์มองประเทศจีนอย่างไรบ้าง
[ 3 ข้อที่ทำให้หุ้นจีนน่าสนใจ ]
เริ่มจากนักวิเคราะห์ต่างประเทศ ‘โกลด์แมน แซคส์’ (Goldman Sachs) หนึ่งในสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลก มองว่า ตลาดหุ้นจีนมีปัจจัยหนุนอยู่ 3 ข้อ คือ
1. การเติบโตของจีดีพีปีนี้ (2566) ซึ่งล่าสุดนักวิเคราะห์ในตลาด (Bloomberg Consensus) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตสูงถึง 6% จากเดิมคาดการณ์ที่ 5.3% ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนแรก แนวโน้มออกมาค่อนข้างดี
ในบทวิเคราะห์ยังระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของจีดีพีล่าสุด เป็นเพียง ‘กรณีฐาน’ (Baseline) เท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมปัจจัยบวกอื่นๆ ที่อาจเข้ามาหนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีนี้เลยด้วยซ้ำ
2. ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดช่วงกลางเดือน มี.ค. เห็นการเติบโตกว่า 45% สะท้องการเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และกำลังซื้อที่เคยอัดอั้นภายในประเทศ (Pent-Up Demand) ที่กำลังรอใช้จ่าย หลังถูกแช่แข็งมานานหลายปี
3. นโยบายของทางการจีน ไม่ว่าจะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่พร้อมผลักดันนวัตกรรมในประเทศให้แข่งขันกับต่างชาติ ขณะที่ธนาคารแห่งชาติของประเทศจีน (PBOC) เพิ่งปรับลดอัตราเงินสำรองต่อเงินฝาก (RRR: Reverse Requirement Ratio) อีก 0.25% เพื่อเร่งการเติบโตของสินเชื่อ
[ หุ้นจีนราคาถูกมากแล้ว ]
ในแง่ของราคา (Valuation) ตลาดหุ้นจีนก็ถือว่าไม่แพง โดยดัชนีหุ้นบริษัทใหญ่ 50 อันดับแรก (FTSE China A50 Index) ปรับตัวลงจากระดับ 20,000 จุดในช่วงต้นปี 2564 เหลือเพียง 13,000 จุดในปัจจุบัน
ขณะที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (P/E Ratio: ค่า P/E) ของตลาดหุ้นจีนตอนนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 12.97 เท่าเท่านั้น เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นบ้านเรา SET Index ปัจจุบันมีค่า P/E สูงกว่าที่ระดับ 18.30 เท่า
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คือ หุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba (BABA) ครั้งหนึ่งเคยพุ่งสูงสุดที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐ (ปลายปี 2563) แต่ตอนนี้กลับปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 98 ดอลลาร์เท่านั้น
เช่นเดียวกับ Tencent (HKG: 0700) ที่ราคาหุ้นเคยสูงสุดแตะ 719 ดอลลาร์ (ปี 2564) ตอนนี้กลับปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 384 ดอลลาร์
[ ปีแห่งการฟื้นตัวของจีน ]
ส่วนนักวิเคราะห์ของไทย ‘รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองว่า
ตลาดหุ้นจีนปีนี้ กรอบใหญ่เป็นปีแห่งการฟื้นตัว โดยได้ปัจจัยหนุนจากการประชุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือน ต.ค.2565 ซึ่งที่ประชุมมีมติต่ออายุประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ อีกสมัย
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมฯ ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 20% ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปรับขึ้นประมาณ 30% (ต.ค. 2565 – มี.ค. 2566)
นอกจากการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ตลาดหุ้นยังได้ปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นหลังการเปิดเมือง ซึ่งทางการจีนประเมินว่าจีดีพีปีนี้ น่าจะเติบโตที่ระดับ 5% นับว่าเหมาะสมสำหรับประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก
[ ระยะสั้นอาจผันผวนได้ ]
แม้ระยะสั้นตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวลงจากปัจจัยชั่วคราว หลังรัฐบาลเตรียมออกมาตรการควบคุมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในตลาด ฉุดให้หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ร่วงลงกว่า 17%
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน จีนก็ประกาศแต่งตั้งนายกคนใหม่ซึ่งมีแผนเสนอร่างกฎหมายสนับสนุนอุตสาหกรรมชิป (Chip) หากร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับการอนุมัติ จะเป็นผลบวกต่อกลุ่มเทคโนโลยี
‘ภาพรวมตลาดหุ้นจีนปีนี้ เรามองว่ายังแกว่งขึ้น (Sideways up) แม้ว่าช่วงสั้นจะพักฐานก็ตาม’
[ ความเสี่ยงเดียวของจีน ]
แม้เศรษฐกิจจะเป็นจุดแข็งของจีนปีนี้ แต่ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีน คือ ความเสี่ยงด้านการเมือง
เนื่องจากประเทศจีนใช้ระบอบการปกครองแบบ ‘คอมมิวนิสต์’ ซึ่งสามารถควบคุมทิศทางประเทศไปในทิศทางหนึ่งทิศทางหนึ่งได้ทันที จากความเห็นของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนที่บริหารประเทศเท่านั้น
ตัวอย่างที่เราเห็นในช่วงที่ผ่านมา คือ การประกาศใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) ที่ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจหยุดชะงัก จนส่งผลร้ายต่อการเติบโตในประเทศ ซึ่งประชาชนไม่สามารถขัดขืนได้
นอกจากนี้ จีนยังเผชิญสงครามการค้ากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง จากกระแส Decoupling หรือการแบ่งขั้วอำนาจของโลกเป็น 2 ฝั่ง นั่นก็คือ ฝั่งจีน และฝั่งสหรัฐ ทำให้สินค้าและบริการขจากบริษัทจีนถูกคว่ำบาตร เช่น กรณี Huawei
[ 3 ธีมลงทุนหุ้นจีนปีนี้ ]
สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยืนยันว่าอยากไปต่อกับตลาดหุ้นจีน บล.บัวหลวงแนะนำ 3 ธีมลงทุนที่น่าสนใจตอนนี้ คือ
1. กลุ่มเปิดเมือง ได้แก่ หุ้น Meituan (HKG: 3690) แพลตฟอร์มจองโรงแรมและร้านอาหาร คาดว่างบไตรมาส 1 ปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง ถัดมาคือหุ้น ANTA Sports (HKG: 2020) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปการณ์กีฬา รับกำลังซื้อที่ฟื้นตัว
2. กลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งปรับฐานไปแล้วในปีก่อน (2565) ได้แก่ หุ้น Baidu (HKG: 9888) Search Engine ของจีน ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาด (Market Share) สูงถึง 56% และอยู่ระหว่างพัฒนาแชตบอตแข่งออกมากับ ChatGPT ของ Microsoft
ถัดมาคือหุ้น Xiaomi (HKG: 1810) ซึ่งมีแผนเปิดตัวสมาร์ทโฟนเอไอรุ่นใหม่ในปีนี้ และเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปีหน้า (2567) ขณะที่หุ้นเทคฯ ตัวอื่นๆ เช่น Alibaba, Tencent และ JD.com (HKG: 9618) ก็แนะนำลงทุนเช่นกัน
3. กลุ่มการเงิน โดยแนะนำหุ้นตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Hong Kong Exchange and Clearing Ltd: HKEX หรือ 0388) ซึ่งเตรียมขยายธุรกิจในภูมิภาคผ่านแพลตฟอร์ม FINI แพลตฟอร์ม IPO หุ้นแบบ One-stop Service ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้
ที่มา:
www.franklintempleton.com/articles/equity/the-china-equity-rally-is-not-over-yet
www.bloomberg.com/news/articles/2023-03-06/ubs-upgrades-china-s-growth-forecast-as-rebound-gathers-pace
Goldman Sachs
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
อ่านข่าวธุรกิจที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : แกรมมี่ปั้นรายได้เพลง 3,800 ล้าน